Blue House Website|Blue House Website

วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คำคมโดนใจ


อารมณ์โกธรเข้าประตูหน้า

สติปัญญาก็โผออกประตูหลัง


โทษคนอื่นแก้ไขอะไรไม่ได้

โทษตนเองแก้ไขได้


คนโง่เท่านั้นมักอวดตนเป็นคนฉลาด

และคนโง่มักแสดงตนให้ผู้อื่นเห็นว่าตนเป็นผู้ฉลาดเสมอ


คุณธรรมความดีไม่ได้อยู่ที่ลิ้น หากเก็บไว้ในใจ


เพื่อนที่ดีมีหนึ่งถึงจะน้อย ดีกว่าร้อยเพื่อนคิดริษยา

ดุจก้อนเกลือเค็มนิดหน่อยด้อยราคา

ยังดีกว่าน้ำเค็มเต็มทะเล


ดอกไม้งามทรามกลิ่น นกบินหนี้

ดอกกลิ่นดีหอมกาย หมายเข้าหา

ดั่งเช่นคนรูปงาม ทรามวาจา

ดูเถิดหนาว่ามีใคร เขาหมายปอง


ค่าของคน อยู่ที่ผลของใจ

ค่าของใคร อยู่ที่ใจของเขา

ชาติหน้ามีจริงหรือ


ครั้งหนึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งมาถามปัญหาท่านอาจารย์ชา (หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี) เรื่องชาติหน้าภพหน้า เขาสงสัยว่า คนตายแล้วเกิดหรือไม่?

ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ ชาติหน้ามีจริงไหม?
ท่านอาจารย์ชา : ถ้าบอกจะเชื่อไหมล่ะ?
ผู้ถาม : เชื่อ
ท่านอาจารย์ชา : ถ้าเชื่อ......คุณก็โง่
ผู้ถาม : คนตายแล้วเกิดไหม?
ท่านอาจารย์ชา : จะเชื่อไหมล่ะ? ถ้าเชื่อ......คุณโง่หรือฉลาด?

แล้วท่านจึงสอนต่อไปว่า

หลายคนมาถามอาตมาเรื่องนี้ อาตมาก็ถามเขาอย่างนี้เหมือนกันว่า ถ้าบอกแล้วคุณจะเชื่อไหม? ถ้าเชื่อคุณก็โง่ เพราะอะไร ก็เพราะมันไม่มีหลักฐาน-พยานอะไรที่จะหยิบมาให้ดูได้ ที่คุณเชื่อเพราะคุณเชื่อตามเขา คนเขาว่าอย่างไร คุณก็เชื่ออย่างนั้น คุณไม่รู้ชัดด้วยปัญญาของคุณเอง คุณก็โง่อยู่ร่ำไป ที่นี้ถ้าอาตมาตอบว่า คนตายแล้วเกิดหรือว่าชาติหน้ามี อันนี้คุณต้องถามต่อไปอีกว่า ถ้ามี พาผมไปดูหน่อยได้ไหม? เรื่องมันเป็นอย่างนี้ มันหาที่จบลงไม่ได้ เป็นเหตุให้ทะเลาะทุ่มเถียงกันไปไม่มีที่สิ้นสุด

ที่นี้ ถ้าคุณถามว่าชาติหน้ามีไหม? อาตมาก็ถามว่า พรุ่งนี้มีไหม? ถ้ามีพาไปดูได้ไหม? อย่างนี้คุณก็พาไปดูไม่ได้ ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้จะมีอยู่ แต่ก็พาไปดูไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าวันนี้มี พรุ่งนี้ก็ต้องมี แต่สิ่งนี้เป็นของที่จะหยิบยกเอามาเป็น วัตถุตัวตนให้เห็นไม่ได้

ความจริงแล้ว พระพุทธองค์ท่านไม่ให้เราตามไปดูถึงขนาดนั้น ไม่ต้องสงสัยว่าชาติหน้ามีหรือไม่มี ไม่ต้องไปถามว่า คนตายแล้วจะเกิดหรือไม่เกิด อันนั้นมันไม่ใช่ปัญหา มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา

หน้าที่ของเราคือ เราจะต้องรู้จักเรื่องราวของตัวเองในปัจจุบัน เราต้องรู้ว่า เรามีทุกข์ไหม? ถ้าทุกข์ มันทุกข์เพราะอะไร? นี้คือสิ่งที่เราจะต้องรู้ และเป็นหน้าที่โดยตรงที่เราจะต้องรู้ด้วย

พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราถือเอาปัจจุบันเป็นเหตุของทุกอย่าง เพราะว่าปัจจุบันเป็นเหตุของอนาคต คือถ้าวันนี้ผ่านไป วันพรุ่งนี้มันก็กลายมาเป็นวันนี้ นี่เรียกว่าอนาคตคือพรุ่งนี้ มันจะมีได้ก็เพราะวันนี้เป็นเหตุ ทีนี้อดีตก็เป็นไปจากปัจจุบัน หมายความว่า ถ้าวันนี้ผ่านไป มันก็กลายเป็นเมื่อวาน นี้เสียแล้ว นี่คือเหตุที่มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่

ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราพิจารณาเหตุทั้งหลายในปัจจุบัน เท่านี้ก็พอแล้ว ถ้าปัจจุบันเราสร้างเหตุไว้ดี อนาคตมันก็จะดีด้วย อดีตคือวันนี้ที่ผ่านไป มันย่อมดีด้วย และที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าเราหมดทุกข์ได้ในปัจจุบันนี้แล้ว อนาคตคือชาติหน้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึง

สุภาษิตที่เกี่ยวกับปลาร้า

ปลาร้า เป็นอาหารไทยที่ทำมาจากปลาที่หมักเอาไว้ประมาณหนึ่งปี

ปลาร้าส่วนมากจะทำจากปลากระดี่ ปลาหมอและปลาซ่อน

ปลาหมอตายเพราะปาก เป็นคำพังเพยไทย หมายถึง คนที่พูดพล่อยๆจนได้รับผลเสียหรือได้รับอันตราย

ปลาหมอกระเดือกจนเหงือกแห้ง เป็นสำนวนไทย หมายถึง ต่อสู้ดิ้นรนจนถึงที่สุด

ปลากระดี่ได้น้ำ เป็นคำพังเพยไทย หมายถึง แสดงท่าทางดีใจจนเกินงาม

ไก่แก่แม่ปลาซ่อน เป็นคำพังเพยไทย หมายถึง หญิงค่อนข้างมีอายุที่มีมารยาเล่ห์เหลี่ยมมาก

ปากปลาร้า เป็นสำนวนไทย หมายถึง คนที่ชอบพูดคำหยาบหรือพูดจาไม่ดี

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ลิฟต์ตก


ถ้าท่านอยู่ในสถานการณ์นี้..!!

ถ้านท่านเป็นคนหนึ่งที่ติดอยู่ในลิฟต์ที่กำลังตก..!?

สิ่งที่ท่านจะต้องทำก็คือ......

1.ให้กดปุ่มให้ลิฟต์จอดทุกชั้นอย่างเร็วที่สุด เพราะเมื่อไฟฟ้าสำรองทำงาน มันจะหยุดลิฟต์จากการร่วงลงมา

2.จับที่จับให้แน่น หากว่ามี เพราะมันจะรองรับตำแหน่งและป้องกันคุณจากการหล่นและการบาดเจ็บถ้าคุณเสียสมดุล

3.พิงหลังและศรีษะเข้ากับพนังให้เป็นเส้นตรง เพราะการพิงพนังจะทำให้มันข่วยป้องกันหลังและกระกูดคุณ

4.งอเข่า เหตุผลก็คือ เมื่อลิฟต์ตก คุณจะไม่รู้ว่าเมื่อไรที่มันจะกระแทกกับพื้น เส้นอ็นจะเป็นจุดเชื่อมต่อที่ยืดกยุ่น มันสามารถยึดกระดูกเข้าด้วยกันเแต่จะจำกัดบางสิ่งเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ ดังนั้น ผลกระทบจากกระดูกแตกจะลดลงจากการกระแทก

วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อมตะวาจาจากพระอริยะ

คิดดี พูดดี ทำดี

เป็นศรี เป็นพร สูงสุด

ไม่มี พรเทพ พรมนุษย์

เปรียบประดุจ ความดี ที่ทำเอง

ความคิดอย่างหนึ่ง

ที่สมควรฝึกให้เกิดขึ้นประจำ

คือความคิดว่า พอ

คิดให้รู้จัก พอ

ผู้รู้จักพอ จะเป็นผู้ที่มีความสบายใจ

ส่วนผู้ที่ไม่รู้จักพอจะเป็นผู้ร้อนเร่า

แสวงหาไม่รู้จักหยุดยั้ง

คนรวยที่ไม่รู้จักพอก็เป็นคนจนอยู่ตลอดเวลา

คนจนที่ไม่รู้จักพอก็เป็นคนมั่งมีตลอดเวลา

...สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาปรินายก

วัดบวรนิเวศวิหาร

วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

อดีต ปัจจุบัน อนาคต


พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต


_____อดีต ปัจจุบัน อนาคต
"สิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ควรทำความผูกพัน
เพราะเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้วอย่างแท้จริง
แม้กระทำความผูกพันและมั่นใจในสิ่งนั้น
กลับมาเป็นปัจจุบันก็เป็นไปไม่ได้
ผู้ทำความสำคัญมั่นหมายนั้นเป็นทุกข์แต่ผู้เดียว
โดยความไม่สมหวังตลอดไป
อนาคตที่ยังมาไม่ถึงนั้น
เป็นสิ่งไม่ควรไปยึดเหนี่ยวเกี่ยวข้องเช่นกัน
อดีตปล่อยไว้ตามอดีต อนาคตปล่อยไว้ตามกาลของมัน
ปัจจุบันเท่านั้นจะสำเร็จประโยชน์ได้
เพราะอยู่ในฐานะที่ควรทำได้ ไม่สุดวิสัย"_____________





วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

กำลังใจจากยายพิม

ไม่ต้องรันทน....หากท่านอยู่ในรถที่ติดไปไหนไม่ได้

เพราะมีคนอีกมากมายที่ไม่เคยมีแม้โอกาสได้นั่งรถ

หากวันนี้มีงานที่กวนใจท่านมาก....คิดเสียว่า

ยังไม่ลำบากเท่าคนที่ตกงานมานานหลายเดือน

ยามเมื่อความสัมพันธ์สะบั้นลง อย่างเพิ่งปลง

เพราะยังดีกว่าผู้ที่ยังไม่รู้จัก...รัก

อย่าอาวรณ์ตอนสุดสัปดาห์จะผ่านไป

จงคิดถึงคนหาเช้ากินค่ำไม่มีวันพัก เพียงเพื่อจักยังชีพ

แม้ต้องเดินทางถึงไกลลับ เพื่อขอความช่วยเหลือยามรถเสีย

ให้นึกถึงผู้ที่เป็นอัมพาตที่อยากอาสาเดินแทน

หากส่องกระจกพบผมหงอกเพิ่มมาอีกเส้น....

ยังดีกว่าเป็นผู้ป่วยเคมีบำบัดที่หวังเพียงว่าจะหงอกได้อีก

ยามโชคร้ายแทบหมดอาลัยตายอยาก....จงดีใจเถิด

เพราะยังประเสริฐกว่าผู้ที่ตายไปก่อนจะมีโอกาสใดๆ

หากต้องทนให้ผู้อื่นระบายทุกข์ใส่.... จะแย่กว่าเป็นไหนไหน

ถ้าต้องเป็นทุกข์นั้นเสียเอง!!!

ขออย่ายอมแพ้....

อย่าอ่อนแอ......แม้จะร้องไห้

หากท่านไม่อาจหลับไหลในยามราตรีนี้.....

ใคร่ครวญให้ดี ยังมีผู้ไร้แม้ที่ซุกหัวนอน

มนต์คลายโกรธ

วันนี้ขออนุญาตนำข้อคิดดีๆจากหนังสือ..มนต์คลายโกรธ..โดยทูตใจ
อ่านกันอีกครั้ง เผื่อจะได้แง่คิดแล้วใจเย็นลงบ้าง..สักนิดก็ยังดี

การหยาบคายต่อเขา เท่ากับเราลดคุณค่าของเราเอง

ชีวิตจะสดใสถ้าห่างไกลความโกรธ

ฆ่าความโกรธให้ยับจะหลับสบาย ฆ่าความโกรธให้ตายจะไร้ศัตรู

ถ้ารู้จักคิดให้แยบคาย จะไม่หงุดหงิดโกรธง่าย

ความโกรธทำให้บุคคลแสดงอาการดุร้าย หยาบคาย ออกมาทางกายวาจา เปลี่ยนสภาพจากสุภาพชนเป็นทรชน จากผู้ดีเป็นไพร่(และจากมนุษย์เป็นสัตว์) ควรหรือที่เราจะโกรธตอบเขา แสดงอาการที่น่ารังเกรียจอย่างเขา เป็นผู้ดีไม่ชอบ ชอบเป็นไพร่กระนั้นหรือ

การได้ด่าผู้อื่นจัดเป็นชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ บางคนคิดว่าตนเป็นผู้ชนะ เพราะด่าอยู่ฝ่ายเดียว หรือด่าได้หยาบคายกว่า แท้ที่จริงทุกคนที่กล่าวคำหยาบล้วนเป็นผู้แพ้ แพ้ต่ออำนาจความโกรธ(หรือกิเลสอื่น) ส่วนคนที่อดทนให้คนอื่นๆด่าโดยไม่โต้ตอบทั้งที่สามารถทำได้ นั่นแหละเป็นผู้ชนะที่แท้จริง เพราะชนะความโกรธซึ่งเป็นสิ่งทำได้ยาก

ขอให้ทุกคนเอาชนะความโกรธให้ได้ แล้วชีวิตจะพบแต่ความสงบสุขแน่นอน

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สมเด็จโตเล่าถึงคุณวิเศษแห่งการสวดมนต์



สมเด็จโตเล่าถึงคุณวิเศษแห่งการสวดมนต์



อาตมา (สมเด็จโต) ได้เห็นอานิสงส์ของการสวดมนต์ด้วยตัวอาตมาเอง ในสมัยที่อาตมาได้ออกเดินธุดงค์ในป่าเป็นเวลา 15 ปี โดยอาศัยอยู่ในเขตดงพญาไฟ ซึ่งเป็นเขตที่อยู่ใกล้ชายแดนของประเทศเขมร ในสมัยนั้นเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ และภูติผีวิญญาณ ตลอดจนชาวบ้านที่มีเวทมนต์คาถา และเล่นคุณไสยกันอยู่อย่างมากมาย


ในอาณาบริเวณชายแดนแห่งประเทศสยามในตอนนั้น อาตมาได้เดินธุดงค์แต่เพียง


ลำพัง ในช่วงนั้นอาตมามิได้ศึกษาในพระเวทมนต์คาถาอาคมใดเลย นอกจากคำว่า

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ

สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ


ซึ่งมีความหมายว่า ข้าพเจ้าขอยึดมั่น พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พระธรรมเป็นที่พึ่ง พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง

อาตมาไปที่แห่งหนตำบลใด ก็จะกล่าวเพียงคำนี้ตลอดเวลาของจิตใจอันเป็นที่พึ่งของอาตมา อาตมาเดินทางเข้าสู่หมู่บ้านชายแดนแห่งประเทศสยาม ในดงพญาไฟขณะนั้น ในหมู่บ้านมีชาวบ้านอาศัยอยู่เพียงเล็กน้อย อาตมาจึงได้ปักกลดอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน
มีชาวบ้านนำอาหารมาถวายตามกำลังที่เขาจะพอทำได้ เมื่อเห็นมีพระภิกษุมาปักกลดในที่แห่งนั้น อาตมาอาศัยอยู่ที่นั้นเป็นระยะเวลาหลายปี และ ณ ที่แห่งนั้น อาตมาจึงได้พบคุณวิเศษแห่งการสวดมนต์

มีชาวบ้านผู้หนึ่งได้เข้ามาสนทนากับอาตมาหลังจากได้ถวายอาหารแล้ว ชาวบ้านผู้นั้นอาตมาทราบชื่อภายหลังว่าชื่อนายผล นายผลได้เล่าให้อาตมาฟังว่า เขาเป็นผู้ฝึกเวทย์มนต์คาถาอาคม เล่าเรียนจนมีญาณแก่กล้า และมักจะทดสอบเวทย์มนต์คาถาอาคมแก่พระภิกษุสงฆ์ที่เดินทางมาปักกลด ณ บริเวณนี้เป็นประจำ เขาเล่าให้อาตมาฟังว่า

เขาได้ส่งอำนาจคุณไสยเข้ามาทำร้ายอาตมาทุกคืน แต่ไม่ได้หวังทำร้ายเป็นบาป


เป็นกรรมถึงตาย เพียงแต่ต้องการทดสอบดูว่าภิกษุรูปนั้น จะมีวิชาอาคมแก่กล้าสามารถที่จะต่อสู้กับคุณไสยเขาได้หรือไม่ นายผลก็ได้ทำคุณไสยใส่อาตมาถึง 7 วันเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยควายธนู หรือปล่อยหนังควาย ปล่อยตะขาบ ตลอดจนภูติพรายเข้ามาทำร้ายอาตมา แต่ปรากฏสิ่งที่ปล่อยมา ก็ไม่สามารถเข้ามาทำร้ายอาตมาได้เลย
วันนี้จึงได้มากราบเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนวิชาความรู้กับอาตมา อาตมาจึงได้บอกว่า


ตัวอาตมาเองไม่ได้ศึกษาพระเวทย์มนต์คาถา หรือคุณไสยใด นายผลก็ไม่ยอมเชื่อหาว่าอาตมาโกหก ถ้าหากไม่มีของดีแล้วไซร้ไฉนอำนาจคุณไสยดำที่เขาส่งมา จึงกลับมายังเขาซึ่งเป็นผู้กระทำ ไม่สามารถทำร้ายอาตมาได้ อาตมาก็พยายามชี้แจงให้เขารู้ว่า อาตมาไม่มีวิชาเหล่านี้จริงๆ ทำให้นายผลสงสัยยิ่งนักว่าเหตุใดอาตมา จึงไม่ได้รับภัย


อันตรายจากอำนาจเวทมนต์คุณไสยดำที่เขาส่งมาทำร้ายได้

อาตมาได้บอกกล่าวแก่เขาว่า เมื่ออาตมาจะนอน อาตมาก็จะสวดแต่คำว่า


พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

จนจิตมีความสงบนิ่งแล้ว จึงได้แผ่ส่วนกุศลไปให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย จงอย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลยอย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและ


กันเลย และอาตมาก็จำวัดนอนเป็นปกติ นายผล เมื่อได้ฟังดังนี้ จึงได้บอกแก่อาตมาว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ ก็เช่นนั้น ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านในวันนี้ ก่อนที่ท่านจะจำวัด จงหยุดการสวดมนต์สัก 1 คืนได้หรือไม่ ข้าพเจ้าต้องการจะพิสูจน์ว่าการสวดมนต์ของท่านเช่นนี้ จะเป็นเกราะคุ้มครองภัยท่านหรือเป็นเพราะอำนาจเวทมนต์ถาถาในภูติผีปิศาจของข้าพเจ้าเสื่อมกันแน่ ข้าพเจ้าขอรับรองว่า จะไม่ทำอันตรายแก่ท่านอาจารย์


อย่างเด็ดขาด เพียงแต่ต้องการที่จะทดสอบให้ความรู้แจ้งเห็นจริงว่าเกิดอะไรขึ้น

อาตมาก็ตกลงรับปากแก่นายผลว่า คืนนี้จะไม่ทำการสวดมนต์ นายผลจึงได้ลากลับไป ครั้นถึงเวลาพลบค่ำอาตมาก็นอนโดยมิได้ทำการสวดมนต์ตามที่ได้ปฎิบัติเป็นปกติ เมื่ออาตมานอนหลับไป อาตมารู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าอาตมาได้ยินเสียง
กุกกัก กุกกัก จึงได้จุดเที่ยนและพบตะขาบใหญ่ยาวเท่าขาของอาตมากำลังเลื้อยเข้ามาอยู่ใกล้ตัวของอาตมามาก อาตมารู้สึกตกใจถึงหน้าถอดสี และด้วยสัญชาตญาณจึง


กล่าวคำสวดมนต์

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ด้วยจิตยึดมั่นในพระพุทธองค์เป็นที่พึ่งเป็นเวลานานเท่าใดไม่ทราบได้ เสียงกุกกักและตะขาบที่อยู่ข้างหน้าก็อันตรธานหายไป จากนั้นอาตมาจึงได้จำวัดนอนเป็นปกติ
ในวันรุ่งขึ้น นายผลก็มาหาอาตมาและได้กล่าวว่า เมื่อคืนนี้ข้าพเจ้าได้ปล่อยตะขาบเข้าไปในกลดที่ท่านพำนักอยู่ อาตมาบอกว่า อาตมาได้ตื่นมาและตกใจ จึงได้สวดมนต์ภาวนา ตะขาบตัวนั้นก็อันตรธานหายไป

นายผลจึงได้ยกมือพนมขึ้น แล้วกล่าวว่า บัดนี้ข้าพเจ้าเชื่อแล้วว่า อำนาจเวทมนต์คาถา และคุณไสยใดๆ ของข้าพเจ้ามิอาจทำร้ายท่านได้ ก็เพราะอำนาจการสวดมนต์ภาวนาของท่านเป็นเกราะคุ้มครองภัยอันตรายต่างๆ ได้

ที่อาตมา (สมเด็จโต) ได้เล่าให้ท่านทั้งหลายในที่นี้ได้ฟังกัน เพื่อให้เห็นอานิสงส์ของการสวดมนต์ว่า เหล่าพรหมเทพได้มาฟังการสวดมนต์จริงดังที่อาตมาได้เทศน์ไว้
เพราะถ้าไม่ใช่เหล่าพวกพรหมเทพแล้วไซร้ ก็คงไม่สามารถที่จะขับไล่สิ่งที่เกิดจากอำนาจคุณไสย ที่นายผลส่งมาเล่นงานอาตมาได้อย่างแน่นอน

ท่านเจ้าพระยา อุบาสก อุบาสิกา ในที่นั้น เมื่อได้ฟังคำเทศนาแล้วต่างก็ยกมือขึ้นสาธุว่า อานิสงส์ของการสวดมนต์ช่างมีคุณค่าสูงส่งยิ่งนัก

...................................................... ............................


จากหนังสือ "อมตะธรรม สมเด็จโต"